หากคุณกำลังมองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์และวัฒนธรรมญี่ปุ่น ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) ในเกียวโตเป็นสถานที่ที่คุณไม่ควรพลาด ไม่ว่าคุณจะเป็นสายถ่ายรูปหรือผู้ที่สนใจในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม หากคุณวางแผนจะมาเยือนเกียวโต อย่าลืมแวะมาชมความงามของศาลเจ้าแห่งนี้ รับรองว่าประสบการณ์ที่นี่จะเป็นหนึ่งในความทรงจำที่คุณจะประทับใจไปตลอดชีวิต!
ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) ศาลเจ้าจิ้งจอกกับประตูโทริอิพันต้นที่ต้องไปเช็คอิน
ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองเกียวโต (Kyoto) จากภาพเสาโทริอิสีชาดนับพันต้นที่เรียงรายเป็นทางยาว ด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและสวยงาม ทำให้นักท่องเที่ยวต่างพากันแวะมาเช็คอินกันอย่างเนืองแน่น
ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ ประวัติความเป็นมา
ศาลเจ้าเทพอินาริ (Fushimi Inari Shrine) หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่า ศาลเจ้าแดงหรือศาลเจ้าจิ้งจอก เป็นศาลเจ้าชินโต(Shinto) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเกียวโต บริเวณเขาอินาริ ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อเสียงจาก เสาโทริอิ (Torii gate) สีแดงชาดจำนวนหลายหมื่นต้น ซึ่งตั้งเรียงกันเป็นอุโมงค์เส้นทางเดินทอดยาว ตรงไปยังป่าในหุบเขาอินาริ (Mount Inari) อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีความสูง 233 เมตร และเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของศาลเจ้า ผู้คนเชื่อกันว่า ภูเขาอินาริ เป็นภูเขาศักดิ์สิทธ์ โดยเทพอินาริจะเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวข้าว รวมไปถึงพืชผลไร่นาต่างๆ และมักจะมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่จะเห็นรูปปั้นจิ้งจอกอยู่จำนวนมากภายในศาลเจ้านั่นเอง
ความหมายของเสาโทริอิสีแดง
เสาโทริอิ (Torii gate) สีแดงที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ มีความหมายทางศาสนาและวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งในศาสนาชินโตของญี่ปุ่น เสาโทริอิทำหน้าที่เป็นประตูสัญลักษณ์ที่แยกโลกของมนุษย์ออกจากโลกของเทพเจ้า โดยเป็นเครื่องหมายของการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพอินาริ ซึ่งเป็นเทพแห่งการเกษตร ความอุดมสมบูรณ์ และการค้าขาย
สีแดงที่ใช้ทาเสาโทริอิถือเป็นสีแห่งการปกป้องและความโชคดี ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น สีแดงยังเป็นสัญลักษณ์ของพลังงานชีวิต การขับไล่พลังชั่วร้าย และการนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ผู้ที่มาสักการะ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเสาโทริอิสีแดงจึงเป็นสัญลักษณ์ที่พบได้มากในศาลเจ้าหลายแห่งทั่วญี่ปุ่น โดยเฉพาะที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
ที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ เสาโทริอิเรียงรายกันเป็นเส้นทางนับพันต้น ครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่ของศาลเจ้าไปจนถึงยอดเขาอินาริ เสาแต่ละต้นได้รับการบริจาคโดยผู้ศรัทธาหรือนักธุรกิจที่ต้องการขอพรหรือแสดงความขอบคุณต่อเทพอินาริ ซึ่งเชื่อกันว่าจะนำความสำเร็จในธุรกิจและการค้า เสาโทริอิเหล่านี้จึงไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา แต่ยังสะท้อนถึงความศรัทธาและความสัมพันธ์ระหว่างเทพเจ้าและผู้คน
ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ รีวิวการเดินเที่ยวชม
จุดทางเข้าเริ่มต้นของประตูเสาโทริอิ อยู่ที่ด้านหลังของพื้นที่ศาลเจ้าหลัก ซึ่งตั้งครอบทางเดินขึ้นสู่ยอดเขา โดยเริ่มต้นที่แถวประตูสองแถวตั้งขนานกันเรียกว่า “เซนบอน โทริอิ (Senbon Torii)” หรือ “ประตูโทริอิหนึ่งพันเสา (thousands of torii gates)” เสาโทริอิที่ตั้งอยู่บนเส้นทางนี้ได้รับการบริจาคโดยบุคคลและองค์กรต่างๆ โดยจะมีการสลักชื่อผู้บริจาคและวันที่เอาไว้ที่ด้านหลังของเสาแต่ละต้น
การเดินทางขึ้นไปบนยอดเขาและกลับลงมาจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินไกลเท่าที่ต้องการก่อนที่จะกลับลงมา ตามเส้นทางเดิน คุณจะพบกับศาลเจ้าขนาดเล็ก และแถวเสาโทริอิที่มีขนาดย่อมลงมา นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารจำนวนหนึ่งตั้งอยู่ระหว่างเส้นทาง ซึ่งจะให้บริการเมนูอาหารที่ตั้งชื่อตามบรรยากาศของท้องถิ่น อาทิเช่น อินาริซูชิ (Inari Sushi) และคิทสึเนะอุด้ง (Kitsune Udon หรืออุด้งจิ้งจอก) ซึ่งทั้งสองเมนูจะมีอาบุระอาเกะ (aburaage) หรือเต้าหู้ทอดเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอาหารโปรดของสุนัขจิ้งจอก
หลังจากเดินทางไปได้สักพัก จำนวนเสาโทริอิจะค่อยๆ ลดลง และตั้งห่างกันมากขึ้น จากนั้นจะถึงทางแยกโยสึสึจิ (Yotsutsuji intersection) ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางเส้นทางขึ้นเขา ณ จุดนี้คุณสามารถพักผ่อนเพื่อชมทัศนียภาพที่งดงามของเกียวโตได้ เส้นทางเดินต่อจากจุดนี้จะแยกเป็นเส้นทางวนขึ้นสู่ยอดเขา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะหยุดเดินตรงจุดนี้ กลับลงข้างล่าง เนื่องจากเส้นทางต่อจากนี้จะไม่มีอะไรมากนัก และจำนวนเสาโทริอิก็จะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ
ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ ขอพรยังไง
เนื่องจาก ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ โด่งดังเรื่องเทพเจ้าจิ้งจอกจึงมีการขอพรที่ค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์ โดยแผ่นไม้ขอพรจะเป็นรูปสุนัขจิ้งจอก นอกจากจะเขียนสิ่งที่ต้องการอฐิษฐานแล้วยังครีเอทหน้ากันได้เองเลย หรือจะใช้ป้ายที่เป็นรูปทรงเสาโทริอิสีแดงก็ดูขลังไปอีกแบบ หรือจะเสี่องดวงที่ Okusha Hohaisho ถ้ายกหินยอดโคมไฟขึ้นแล้วรู้สึกเบาจะเป็นไปตามประสงค์
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชม
- ช่วงเช้า (ก่อน 8.00 น.)
หากต้องการหลีกเลี่ยงฝูงชน การมาเยี่ยมชมในช่วงเช้าตรู่จะเป็นตัวเลือกที่ดี บรรยากาศจะเงียบสงบ เหมาะกับการเดินเล่นและถ่ายรูปเสาโทริอิสีแดงโดยไม่ต้องแย่งมุมถ่ายภาพกับคนอื่น นอกจากนี้ การมาช่วงเช้ายังให้โอกาสได้สัมผัสถึงความสงบและศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่
- ช่วงเย็น (หลัง 17.00 น.)
การมาเยือนในช่วงเย็นจะได้สัมผัสบรรยากาศที่สงบและเย็นสบาย โดยเฉพาะในฤดูร้อน แสงแดดยามเย็นจะทำให้เสาโทริอิสีแดงดูงดงามเป็นพิเศษ และเมื่อฝูงชนเริ่มน้อยลง การเดินขึ้นเขาก็จะเป็นไปอย่างสบายๆ
- ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม)
ในช่วงนี้ดอกซากุระจะบานสะพรั่งทั่วบริเวณ ทำให้ศาลเจ้ามีความสวยงามเป็นพิเศษ ใบไม้เขียวสดใหม่เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับพื้นที่ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความงามของธรรมชาติและดอกไม้
- ช่วงฤดูใบไม้ร่วง (ตุลาคม-พฤศจิกายน)
ใบไม้เปลี่ยนสีจะทำให้ศาลเจ้าดูงดงามและน่าตื่นตาตื่นใจ สีส้มแดงของใบไม้จะเข้ากับเสาโทริอิสีแดงอย่างสวยงาม สร้างบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์และเหมาะสำหรับการถ่ายภาพ
- ช่วงเทศกาลปีใหม่ (1-3 มกราคม)
ช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นเวลาที่ผู้คนจำนวนมากมาที่ศาลเจ้าเพื่อสักการะและขอพรให้กับปีใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเพณีของชาวญี่ปุ่นที่เรียกว่า “ฮัตสึโมเดะ” แม้ว่าจะมีผู้คนเยอะ แต่จะได้สัมผัสถึงบรรยากาศการเฉลิมฉลองและความเชื่อในวันปีใหม่
วิธีเดินทาง และเวลาเปิดปิด
เวลาเปิดปิด :
เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
การเดินทาง
- รถประจำทาง:
จากสถานี Kyoto นั่งสาย 5 หรือ 105 - รถไฟ :
ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Shrine) ตั้งอยู่หน้าสถานี JR อินาริ (JR Inari Station) ซึ่งเป็นสถานีที่สองจากสถานีเกียวโต (Kyoto Station) ในเส้นทางรถไฟสาย JR นารา (JR Nara Line) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 นาที จากสถานีเกียวโต ไม่มีรถด่วน (rapid train) ให้บริการ หรือคุณสามารถเดินจากสถานีฟุชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Station) ตามเส้นทางรถไฟ บนสายรถไฟสายหลักเคฮัน (Keihan Main Line)
สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง
วัดโทฟุคุจิ (Tofuku-ji Temple)
วัดโทฟุคุจิ (Tofuku-ji Temple) เป็นวัดเซนที่สำคัญและเก่าแก่มากแห่งหนึ่งในเกียวโต ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ สิ่งที่ทำให้วัดโทฟุคุจิเป็นที่รู้จักและเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว คือสวนญี่ปุ่นที่งดงาม โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงที่ใบเมเปิลเปลี่ยนสีสวยงาม สวนของวัดมีการออกแบบในสไตล์เซน เรียบง่ายแต่สงบ สวนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ สะพานสึเท็นเคียว (Tsutenkyo Bridge) ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างอาคารวัดสองฝั่ง สะพานนี้เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วง นักท่องเที่ยวมักมาที่นี่เพื่อชมใบเมเปิลสีแดง-ส้มที่ปกคลุมเต็มบริเวณ ทำให้เป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีที่สุดในเกียวโต
วัดซันจูซังเก็นโด (Sanjusangendo Temple)
วัดซันจูซังเก็นโด (Sanjusangendo Temple) เป็นวัดพุทธที่มีชื่อเสียงและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเกียวโต วัดนี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากการประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมพันกร (Kannon) จำนวน 1,001 องค์ และห้องโถงที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและศูนย์รวมความศรัทธาที่สำคัญของชาวญี่ปุ่น อาคารหลักของวัดที่มีความยาวถึง 120 เมตร เป็นอาคารไม้ที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น เรียกว่า “ห้องโถงยาว 33 ช่วงเสา” ภายในห้องโถงนี้ นอกจากจะมีการประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมแล้ว ยังมีรูปปั้นทวยเทพอื่นๆ อีก 28 องค์ ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองเจ้าแม่กวนอิม
ปราสาทนิโจ (Nijo Castle)
ปราสาทนิโจ (Nijo Castle) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเมืองเกียวโต ปราสาทแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความรุ่งเรืองของโชกุนโตกุกาวะ ซึ่งปกครองญี่ปุ่นในช่วงยุคเอโดะ (1603–1867) ปราสาทนิโจได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1994 และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดในเกียวโต
ย่านกิออน (Gion District)
ย่านกิออน (Gion District) เป็นหนึ่งในย่านที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเกียวโต เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นและมีชื่อเสียงในฐานะย่านเกอิชา ที่นี่มีบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของยุคสมัยเก่า อาคารบ้านเรือนในย่านกิออนยังคงรักษาสถาปัตยกรรมแบบโบราณเอาไว้อย่างดี ซึ่งทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในอดีตของญี่ปุ่นเดิม
กิออนยังคงเป็นศูนย์กลางของเกอิชาและไมโกะ (Geisha & Maiko) ซึ่งเป็นศิลปินที่มีทักษะด้านการแสดงดนตรี การร้องเพลง และการร่ายรำเพื่อสร้างความบันเทิงแก่แขกในงานเลี้ยง การที่กิออนยังคงความเป็นย่านเกอิชาได้ในปัจจุบันทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญมาก นอกจากนี้ยังมี ศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงอยู่ในย่านนี้ด้วย คือ ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine)
วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera Temple)
วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera Temple) เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงและสำคัญที่สุดในเกียวโต และยังเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเกียวโตบนเนินเขาฮิกาชิยามะ (Higashiyama) วัดนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,200 ปี โดยก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 778 ในยุคนารา วัดคิโยมิสึโดดเด่นด้วยระเบียงไม้ขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากหน้าผา สามารถมองเห็นวิวเมืองเกียวโตได้อย่างสวยงาม วัดนี้ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมตลอดทั้งปี
ตลาดนิชิกิ (Nishiki Market)
ตลาดนิชิกิ (Nishiki Market) เป็นตลาดเก่าแก่และมีชื่อเสียงในเมืองเกียวโต โดยได้รับฉายาว่าเป็น “ครัวของเกียวโต (Kyoto’s Kitchen)” เนื่องจากเป็นศูนย์กลางการจำหน่ายอาหารและวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ที่นี่คุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศการค้าแบบดั้งเดิมและได้ลองชิมอาหารญี่ปุ่นแบบท้องถิ่นที่หาซื้อได้เฉพาะในเมืองเกียวโต
ตลาดนิชิกิตั้งอยู่บนถนนที่ยาวประมาณ 400 เมตร และเป็นทางเดินแคบๆ ที่มีร้านค้ากว่า 100 ร้านเรียงรายสองข้างทาง แม้ว่าตลาดจะเป็นพื้นที่เล็กๆ แต่เต็มไปด้วยสินค้าที่หลากหลาย ตั้งแต่อาหารทะเลสด ผักผลไม้ท้องถิ่น อาหารแห้ง เครื่องปรุงรส ขนมญี่ปุ่น และของที่ระลึก
การเยี่ยมชมศาลเจ้าฟูชิมิอินาริเป็นประสบการณ์ที่ผสมผสานระหว่างการสัมผัสวัฒนธรรม ศาสนา และธรรมชาติของญี่ปุ่น เสาโทริอิสีแดงที่เรียงรายเป็นเอกลักษณ์ของศาลเจ้า และเส้นทางสู่ยอดเขาที่มอบวิวที่งดงามและความเงียบสงบ ทำให้การเยี่ยมชมที่นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเกียวโต และหลังจากเที่ยวศาลเจ้าฟูชิมิอินาริแล้ว หากยังไม่มีแผนว่าจะไปไหนต่อลองแวะไปวัดไดโกจิ ใบไม้เปลี่ยนสีที่นี้สวยมากไม่ผิดหวังชัวร์